สำหรับใครที่ชื่นชอบการจิบชาหรือยู่ในวงการคนรักชา คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ชาดำ เป็นหนึ่งในตัวเลือก ใบชาพรีเมี่ยม ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดทั่วโลก ไม่ว่าจะดื่มแบบร้อนๆ หอมกรุ่น หรือชงเย็นๆ สดชื่นก็ลงตัวไปหมด
วันนี้เราจึงขอพาไปเจาะลึกเรื่องราวของชาชนิดนี้ ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา กระบวนการผลิตที่น่าสนใจ ไปจนถึงวิธีชงที่ถูกต้องเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด

ประวัติและความเป็นมา ชาดำมาจากไหน?
ชาดำ หรือที่ชาวจีนเรียกว่า “ชาแดง” (Hong Cha) ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในจีน ช่วงราชวงศ์หมิง เล่ากันว่าเกิดจากความบังเอิญ เมื่อใบชาถูกวางทิ้งไว้นานจนเกิดการหมัก (Oxidation) ทำให้ใบชาเปลี่ยนสีเข้มและให้กลิ่นเฉพาะตัว
แต่แทนที่จะถูกทิ้ง ชาวบ้านได้ลองนำไปอบแห้งและชงดื่ม ปรากฏว่าได้รสชาติที่เข้มข้น หอมหวาน และแตกต่างจากชาเขียวที่มีอยู่เดิมอย่างสิ้นเชิง นี่จึงเป็นจุดกำเนิดของชาดำที่เรารู้จักกันในวันนี้
ซึ่งชาดำจีนในยุคแรก ๆ เป็นที่นิยมมากในราชสำนักและเส้นทางการค้าระหว่างประเทศ ต่อมาพ่อค้าชาวดัตช์และอังกฤษก็ได้นำชาดำเดินทางข้ามทวีปไปยังยุโรปในศตวรรษที่ 17 กลายเป็นเครื่องดื่มสุดหรูที่ชนชั้นสูงในอังกฤษหลงใหล จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม “Afternoon Tea” ที่โด่งดังไปทั่วโลก ต่อมาอังกฤษได้ขยายการปลูกชาไปยังอินเดียและศรีลังกา ทำให้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและมีหลากหลายสายพันธุ์มากขึ้น
กระบวนการผลิต เคล็ดลับที่ทำให้ชาดำมีเอกลักษณ์
สิ่งที่ทำให้ชาดำแตกต่างจากชาชนิดอื่นๆ คือกระบวนการผลิตที่เน้นการหมักหรือออกซิเดชันอย่างสมบูรณ์ รวมถึงขั้นตอนอื่นๆ ดังนี้
- การเก็บใบชา: ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด
การเลือกใบชาที่เหมาะสมคือก้าวแรกของชาคุณภาพ โดยปกติจะเก็บยอดอ่อน 2-3 ใบแรก ช่วงเวลาในการเก็บเกี่ยวจะส่งผลต่อรสชาติ โดยชาที่เก็บในฤดูใบไม้ผลิ (First Flush) จะมีรสละมุน ส่วนชาที่เก็บในฤดูร้อน (Second Flush) จะมีกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้นกว่า - การทำให้เหี่ยว (Withering): การลดความชื้น
หลังจากเก็บใบชามาแล้ว จะนำไปผึ่งหรือใช้พัดลมเป่าเพื่อลดความชื้นในใบชาลงประมาณ 60-70% กระบวนการนี้ใช้เวลา 12-18 ชั่วโมง ทำให้ใบชานิ่มและพร้อมสำหรับขั้นตอนถัดไป - การนวด (Rolling): การปลดปล่อยน้ำมันและเอนไซม์
ใบชาที่เหี่ยวแล้วจะถูกนวดเพื่อให้เซลล์ใบชาแตกตัว ปลดปล่อยน้ำมันหอมระเหยและเอนไซม์ที่จะทำให้เกิดกระบวนการออกซิเดชันในขั้นต่อไป - การหมัก (Oxidation): หัวใจสำคัญของชาดำ
ขั้นตอนนี้เป็นจุดสำคัญของการผลิต ใบชาที่ถูกนวดแล้วจะถูกวางไว้ในห้องที่มีความชื้นและอุณหภูมิควบคุม เพื่อให้เอนไซม์ในใบชาทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ใบชาจะค่อยๆ เปลี่ยนสีจากเขียวเป็นน้ำตาลแดง จนกระทั่งดำ และเป็นตัวกำหนดรสชาติและกลิ่นหอม - การอบแห้ง (Firing): การหยุดปฏิกิริยา
เมื่อใบชาหมักได้ตามต้องการแล้ว จะนำไปอบด้วยความร้อนสูง (ประมาณ 90-95°C) เพื่อหยุดกระบวนการออกซิเดชันและลดความชื้นให้เหลือประมาณ 3% ขั้นตอนนี้จะช่วยล็อครสชาติและทำให้ชาเก็บได้นานขึ้น
ประเภทของชาดำยอดนิยม 4 ชนิดที่ต้องลอง
- Assam (อัสสัม)
ชาจากแคว้นอัสสัมในอินเดีย มีรสชาติเข้มข้น เต็มเปี่ยม มีกลิ่นหอมคล้ายมอลต์และความหวานเล็กน้อย เหมาะมากสำหรับการทำชานม (Milk Tea) หรือชาดื่มยามเช้าเพื่อปลุกความสดชื่น - Ceylon (ซีลอน)
ชาจากศรีลังกา มีรสชาติสดชื่น กลิ่นหอมสดใส บางครั้งมีกลิ่นคล้ายมะนาว รสสัมผัสกลางไม่เข้มหรืออ่อนเกินไป ดื่มได้ทั้งแบบร้อนและเย็น - Darjeeling (ดาร์จีลิง)
ชาจากแคว้นดาร์จีลิงในอินเดีย ได้รับการขนานนามว่า “แชมเปญแห่งชา” เพราะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบ Floral + Fruity รสชาติละมุน หอมหวาน - Keemun Tea (ฉีเหมิน)
ชา Black Tea จีนสายพันธุ์ดั้งเดิมจากมณฑลอันฮุย มีรสชาติเข้มข้น หอมหวาน มีกลิ่นคล้ายผลไม้ผสมกลิ่นควันและมอลต์จางๆ เป็นชาที่ได้รับความนิยมในราชสำนักอังกฤษ และเป็นส่วนผสมหลักของ ชา Tower of London Harney & Sons

ประโยชน์ต่อสุขภาพของชาดำ มากกว่าแค่ความสดชื่น
นอกจากรสชาติที่ดีเยี่ยมอย่างมีเอกลักษณ์แล้ว ชาชนิดนี้ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เช่น
- สารต้านอนุมูลอิสระ (Flavonoids) และผลต่อหัวใจ
อุดมไปด้วยสารฟลาโวนอยด์ชนิดต่างๆ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกาย การดื่มแบบร้อนเป็นประจำ มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิด LDL ได้ - L-Theanine: สารที่ช่วยให้ผ่อนคลายและมีสมาธิ
แม้ว่าชาดำจะมีคาเฟอีนที่ช่วยให้ตื่นตัว แต่ก็มีกรดอะมิโน L-Theanine ที่ช่วยให้จิตใจสงบและมีสมาธิมากขึ้น การผสมผสานระหว่างคาเฟอีนและ L-Theanine จึงทำให้ดื่มชาแล้วรู้สึกตื่นตัวแต่ไม่ใจเต้นแรงเหมือนกาแฟ - ผลต่อระบบย่อยอาหารและความเสี่ยงโรคเบาหวาน
สารโพลีฟีนอลในชา Black Tea ช่วยส่งเสริมแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ และช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบย่อยอาหาร นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่พบว่าช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี
วิธีการชงชาดำให้อร่อยที่สุด เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ
- อุณหภูมิน้ำที่เหมาะสม: 95-100°C
ชาชนิดนี้ต้องชงด้วยน้ำร้อนจัด ประมาณ 95-100°C (หรือน้ำเดือดพอดี) เพื่อดึงรสชาติและกลิ่นหอมออกมาได้อย่างเต็มที่ - อัตราส่วนชาต่อน้ำที่แนะนำ: 2g / 240ml
แนะนำให้ใช้ประมาณ 1 ช้อนชา หรือ 2 กรัม ต่อน้ำ 240 มล. (ประมาณ 1 แก้ว) หากชอบรสชาติเข้มข้นก็เพิ่มปริมาณชาได้ตามชอบ
- เวลาแช่ (Steeping Time) ที่แตกต่างกันตามประเภทชา
ระยะเวลาในการแช่ชาโดยทั่วไปอยู่ที่ 2-5 นาที ขึ้นอยู่กับชนิดของชา เช่น - Assam และ Ceylon: แช่ 3-5 นาที เพื่อรสชาติเข้มข้น
- Darjeeling: แช่ 2-3 นาที เพื่อรสชาติละมุนไม่ขม
- Keemun: แช่ 3-4 นาที เพื่อกลิ่นหอมและรสชาติสมดุล
แต่ทั้งนี้ ก็สามารถปรับระยะเวลาเองได้ เพื่อให้ได้รสชาติและกลิ่นรวมถึงความเข้มข้นที่ชื่นชอบ

ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อชาดำคุณภาพ
เวลาเลือกซื้อชาดำคุณภาพ มีบางสิ่งที่ควรรู้เพื่อให้ได้ชาที่ตรงใจคุณมากที่สุด เช่น
ชาแบบเต็มใบ (Loose Leaf) ให้รสชาติและกลิ่นหอมที่เต็มเปี่ยมกว่า เพราะเป็นใบชาที่สมบูรณ์และมีพื้นที่ในการขยายตัวในน้ำร้อน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์การดื่มชาที่ดีที่สุด แต่ต้องใช้อุปกรณ์ในการชง เช่น กาชา หรือที่กรองชา
แต่ชาแบบ ถุงชา สะดวกและง่ายต่อการใช้งาน เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาน้อยหรืออยู่ในที่ทำงาน แต่โดยทั่วไปใบชาในถุงจะเป็นใบชาที่บดละเอียดหรือมีคุณภาพต่ำกว่า ทำให้รสชาติไม่เต็มที่เท่าชาแบบเต็มใบ
นอกจากนี้ การอ่านฉลากและเกรดใบชาดำก็เป็นตัวช่วยบ่งบอกคุณภาพและรสชาติของชา โดยมีหลักเกณฑ์ที่พบทั่วไปดังนี้:
- OP (Orange Pekoe) คือชาเกรดที่ใช้ใบชาขนาดกลางถึงใหญ่ เป็นใบชาที่อยู่ในส่วนยอดอ่อนและใบค่อนข้างโต มีรสชาติที่ดีและคุณภาพเริ่มต้น
- FOP (Flowery Orange Pekoe) คือชาเกรดที่ใช้ยอดชาอ่อนเต็มที่พร้อมกับดอกชาเล็กๆ ทำให้มีรสชาติหอมหวานและละเอียดอ่อนมากขึ้น
- เกรดอื่น ๆ เช่น BOP (Broken Orange Pekoe) ใบชาหักเล็กลง เพิ่มความเข้มข้นเมื่อนำมาชง, TGFOP (Tippy Golden Flowery Orange Pekoe) คือเกรดพรีเมียมที่ใช้ยอดชาสีทอง มีรสชาติและกลิ่นหอมโดดเด่น
การอ่านฉลากจึงช่วยเลือกชาที่เหมาะกับความชอบและงบประมาณ โดยใบชาที่อยู่ในเกรดสูงย่อมมีราคาและคุณภาพที่ต่างกันไปตามตำแหน่งใบชาและการเก็บเกี่ยว
ชาดำยังมีเรื่องราวและรสชาติที่รอให้คุณค้นหาเสมอ หากกำลังมองหาชาดำพรีเมี่ยมคุณภาพสูง ลองเลือกชาที่ผ่านกระบวนการผลิตพิถีพิถัน และเหมาะกับสไตล์การดื่มของคุณ แล้วคุณจะพบว่าชาดำหนึ่งแก้วสามารถให้ประสบการณ์ที่ดีได้มากกว่าที่คิด








